พิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่

  • แม่โจ้ 2477.

พี่ละอัย เพศยนิกร ผู้ชนะการโหวตตั้งชื่อ สระเกษตรสนาน เมื่อ พ.ศ. 2478

นักเรียนแม่โจ้ ปี 1 และปี 2 ได้ร่วมมือร่วมใจกันขุดสระน้ำ ตั้งแต่วันที่ 22-28 ธันวาคม 2478 โรงเรียนของเราก็มีสระน้ำที่สวยงามราวกับเนรมิต เพราะทุกบ้านขุดกันเสร็จบริบูรณ์ตั้งแต่กลางดึกวันที่ 28 นี่แหละครับ “พลังของลูกแม่โจ้” ท่านอาจารย์ใหญ่ (พระช่วงเกษตรศิลปการ) ได้สั่งให้ระบายน้ำเข้าสระตั้งแต่เช้าวันนั้น พอตกบ่ายราว ๆ 15.00 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 29 ธันวาคม 2478 น้ำก็เต็มสระแล้วพิธีเปิดฉลองสระก็เริ่มขึ้น โดยนักเรียนทั้งหมดยื่นเรียงรายรอบปากสระ จำนวนไม่น้อยที่แต่งตัวมากันอย่างโก้เหมือนจะเข้าเวียง ครูอาจารย์มาพร้อมหน้ากัน ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นประธานท่านถามหาชื่อสระว่าใครจะเสนอใช้ชื่อว่าอย่างไร ใครคิดเตรียมมาแล้วก็ให้เสนอมาได้ มีผู้เสนอขึ้นมาหลายชื่อ เช่น รวมใจแม่โจ้, ศิลป์สำอาง, กสิกรเนรมิตร, เกษตรสนาน, คุณพระเนรมิต, อนุสรณ์ ๗๙, พิรุณประทาน เป็นต้น ที่ประชุมนักเรียนต่างยกมือยอมรับชื่อสระเกษตรสนานของคุณละอัย เพศยนิกร นักเรียนหลักสูตร ป.ป.ก. (ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 2) จากพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้เสนอให้เป็นชื่อของสระโดยนับคะแนนจำนวนได้มากกว่าชื่ออื่น ๆ ดังนั้น สระที่เราร่วมแรงร่วมใจกันขุดให้ได้มาด้วยความเหน็ดเหนื่อยและสนุกสนานเพียงเวลา 7 วันนี้จึงชื่อว่า “สระเกษตรสนาน” ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2478 เป็นต้นมา ท่านอาจารย์ใหญ่ได้มอบสมุดบันทึกประจำวันปกแข็งพร้อมปากกาหมึกซึมซีแมน ให้เป็นรางวัลที่ระลึกแก่คุณละอัย ด้วยความเมตตาอารี ซึ่งคุณละอัยบอกว่าดีใจที่สุด และจะเก็บรักษาไว้เป็นที่ระลึกให้นานที่สุด (ต่อมาเมื่อคุณละอัยรับราชการเป็นสหกรณ์จังหวัดน่าน ราว ๆ พ.ศ. 2493 คุณละอัย ยังนำรางวัลนี้ออกมาอวดเพื่อนเสมอ) ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวแก่พวกเราในพิธีนี้ความว่า ท่านดีใจและปลื้มใจมากที่สระเกษตรสนาน ได้เกิดขึ้นแล้วตามความปรารถนาของพวกเรา โดยเกิดขึ้นจากพลังความสามัคคีอันดี ของพวกเราทุกคนตลอดทั้งนักเรียนและครูอาจารย์ ราวกับเนรมิตเพราะใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้นเกินความคาดหมายที่คาดไว้ ท่านจึงเชื่อว่าสระนี้เป็นสระอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ทั้งความชุ่มฉ่ำเย็นใจเย็นกาย อันจะเป็นสิ่งคอยกระตุ้นและเสริมกำลังกายกำลังความสามัคคีให้ประสบแต่ความร่มเย็นผาสุก มีสุขภาพพลานามัยเข้มแข็ง เกิดความคิดสติปัญญาฉลาดเฉลียวในทางที่เกิดประโยชน์ต่อวงศ์สกุลและประเทศชาติสืบไป เอกสารอ้างอิง: เกษตรแม่โจ้, 2524. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์. รวบรวมเรียบเรียง: อนุสรณ์ วิจารณ์ปรีชา ศิษย์เก่าแม่โจ้’53

Read More


อาคารวุฒากาศ

อาคารวุฒากาศ หรือที่ศิษย์เก่าแม่โจ้ เมื่อครั้งยังศึกษา ตั้งแต่ซีรีส์ 2 ซีรีส์ 3 รู้จักกันในนามหอพักวุฒากาศ เป็นอาคารตึกครึ่งไม้ มีพื้นที่ประมาณ 1,863 ตารางเมตร หลังคาทรงปั้นหยา ใช้งบประมาณก่อสร้าง 250,000 บาท โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พลอากาศเอกหลวงเชิด วุฒากาศ (สุดใจ เชิดวุฒิ) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (11 ธันวาคม พ.ศ. 2494 – 23 มีนาคม พ.ศ. 2495, 28 มีนาคม พ.ศ. 2495 - 26 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2500) เคยใช้เป็นหอพัก, อาคารเรียน, ที่ทำการชมรมนักศึกษา, ที่ทำการสำนักงานฝ่ายฝึกอบรม สำนักงานฝ่ายส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานฝ่ายวิจัย สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร, มีการปรับปรุงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 เพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานและต้อนรับของงานกล้วยไม้เอเซียแปซิฟิกครั้งที่ 4 (APOC4) ในเดือนมกราคม 2535 ,วารสารแม่โจ้ปริทัศน์, ศูนย์ประสานงานบัณฑิต ตลอดจนที่ทำการฝ่ายปกครองนักศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2559 ดำเนินการปรับปรุงใหม่ (งบประมาณโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน) ปัจจุบัน เป็นที่ทำการกองกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ข้อมูล: อนุสรณ์ วิจารณ์ปรีชา ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 53

Read More


พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ (โห้ กาฬดิษย์) ผู้ให้กำเนิดวิชา เกษตรกรรม ในประเทศไทย

อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนทุนรุ่นแรกของกระทรวงธรรมการที่ไปศึกษาต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2438 พร้อมกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ สำเร็จวิชากสิกรรมจากมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ์ ในปี พ.ศ. 2439 และได้ผ่านการฝึกงานไร่กับครอบครัวกสิกรคหบดีในอังกฤษเป็นเวลานานก่อนกลับประเทศไทย เคยได้ไปช่วยราชการกรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตราธิการ ในปี พ.ศ. 2452 พระยาเทพศาสตร์ฯ ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมหอวัง ขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ณ บ้านสวนหลวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณหอวัง (บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติด้าน สี่แยกเจริญผลในปัจจุบัน) พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ เป็นอาจารย์ใหญ่ มีครูน้อย 2 คน คือ ครูทองดี เรศานนท์ (หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ) และครูผล สินธุระเวชญ์ (หลวงผลสัมฤทธิ์กสิกรรม) ทั้งสองคนสำเร็จ ป.ม.จากโรงเรียนข้าราชการพลเรือน การศึกษาเกษตรก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2459 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์ (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เข้ารับหน้าที่เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้เริ่มโครงการศึกษากสิกรรม ผู้ที่ได้รับบัญชาให้ร่างโครงการเสนอคือ พระยาเทพศาสตร์สถิต (โห้ กาฬดิษย์) อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นนักเรียนทุนรุ่นแรกของกระทรวงธรรมการที่ไปศึกษาต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2438 พร้อมกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี พระยาเทพศาสตร์สถิต สำเร็จวิชากสิกรรมจากมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ์ ในปี พ.ศ. 2439 และได้ผ่านการฝึกงานไร่กับครอบครัวกสิกรคหบดีในอังกฤษเป็นเวลานานก่อนกลับประเทศไทย เคยได้ไปช่วยราชการกรมเพาะปลูกกระทรวงเกษตราธิการในปี พ.ศ. 2452 ครั้งหนึ่ง ต่อมาได้กลับไปเป็นอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนสังกัดกระทรวงธรรมการ ได้เป็นข้าหลวงเกษตรมณฑลภูเก็ต และเลขานุการกรมทดน้ำ นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการเกษตรทั้งนอกและในประเทศเป็นอย่างดี โครงการศึกษากสิกรรมที่พระยาเทพศาสตร์สถิตร่างขึ้นนี้ เสนอให้จัดการศึกษาเกษตรตามแนวทางของสหรัฐอเมริกาที่จัดทำอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์คือ สอนให้ทำ “สวนโรงเรียน” เป็นการสาธิตวิชาการเกษตรแผนใหม่ก่อน แล้วจึงขยายให้นักเรียนทำ “สวนบ้าน” ในภายหลัง เป็นการให้นักเรียนได้ลงมือ ลงทุนทำการเกษตรตั้งแต่ก่อนการสำเร็จการศึกษา ในปี พ.ศ. 2460 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์ฯ แบ่งเงินจากการศึกษาสามัณส่วนหนึ่งมาให้พระยาเทพศาสตร์ฯ ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมหอวังขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ณ บ้านวนหลวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขอบริเวณหอวัง (บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ด้านสี่แยกเจริญผลในปัจจุบัน) พระยาเทพศาสตร์สถิต เป็นอาจารย์ใหญ่ มีครูน้อย 2 คน คือ ครูทองดี เรศานนท์ (หลวงสุวรรณาจกกสิกิจ) และครูผล สินธุระเวชญ์ (หลวงผลสัมฤทธิ์กสิ กรรม) ทั้งสองคนสำเร็จ ป.ม.จาก โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ในปี พ.ศ. 2461 ได้ย้ายโรงเรียนไปตั้งที่ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ที่ตั้งฌรงเรียนเป็นป่าไผ่และดงสะแก อยู่ข้างวัดพระประโทน ในปี พ.ศ. 2467 ได้ย้ายโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมไปตั้งที่ตำบลบางสะพานใหญ่ อำเภอบางสะพานใหญ่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2468 ได้ขยายกิจการตั้งแผนฝึกหัดครูมูลกสิกรรม และแผนกมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมบางสะพานใหญ่ เจริญรุ่งเรืองมาก มีอาจารย์สำเร็ขวิชาการเกษตรระดับปริญญาตรี และโท จากเมริกา อังกฤษ และฟิลิปปินส์ ถึง 6 คน พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ (โห้ กาฬดิษย์) หลวงชุณหกสิการ (ชุ้น อ่องระเบียบ) หลวงอิงค์ศรีกสิกร (อินทรีย์ จันทรสถิตย์) พระช่วงเกษตรศิลปะการ (ช่วง โลจายะ) หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ (ทองดี เรศานนท์) หลวงผลสัมฤทธิ์กสิกรรม (ผล สินธุระเวชญ์) นอกจากนี้ยังมีแหล่งวิชาการเกษตรใหญ่ คือ ฟาร์มบางเบิด ของ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร พระบิดาของการเกษตรแผนใหม่อยู่ไม่ไกลนัก ในปี พ.ศ. 2469 ต้องย้ายโรงเรียนเป็นครั้งที่ 3 ไปตั้งที่ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ส่วนที่บางสะพานใหญ่ต้องปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2471 ต่อมานโยบายการศึกษาเกษตรมีการเปลี่ยนแปลง ขาดผู้สนับสนุนระดับเสนาบดี มีการย้ายอาจารย์เข้ากรุงเทพฯ 4 คน พระยาเทพศาสตร์ฯ อาจารย์ใหญ่ถึงอนิจกรรมในปี พ.ศ. 2472 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ โครการศึกษากสิกรรม หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ เป็นอาจารย์ใหญ่สืบแทนจนถึงปี พ.ศ. 2474 ในปลายปี พ.ศ. 2474 ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้กลับมาเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการอีกครั้งหนึ่ง จึงมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด (1) หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ ได้รับมอบหมายให้ไปเริ่มงานที่สถานีทดลองกสิกรรมภาคใต้ และโรงเรียนฝึกหัดครูมูลกสิกรรมที่ตำบลควนเนียง จังหวัดสงขลา (2) หลวงอิงคศรีกสิกรม ทางกระทรวงธรรมการ ได้ย้ายไปเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมที่ย้ายจากทับกวางไปอยู่ที่สถานีทดลองกสิกรรมภาคอิสาน ที่ตำบลโนนสูง อำเภอโนนวัด จังหวัดนครราชสีมา ในต้นปี 2475 การศึกษาเกษตรหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2476 การศึกษาเกษตรและการวิจัยยังมีการร่วมมือกันอย่างดีระหว่างกระทรวงธรรมการและกระทรวงเกษตราธิการ มีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นที่ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้ย้ายสถานีทดลองกสิกรรมภาคใต้ไปรวมอยู่ที่คอหงส์ กรมตรวจกสิกรรม ได้ขอตัวพระช่วงเกษตรศิลปะการ จากกระทรวงกลาโหม ให้ไปบุกเลิกงานสถานีกสิกรรมภาคพายัพที่บ้านแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2477 กระทรวงธรรมการ ได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแห่งที่สามขึ้นที่แม่โจ้ คู่กับสถานีทดลองกสิกรรมภาคพายัพ การบริหารงานของสถานีทดลองกสิกรรมทั้ง 3 ภาค และโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ในระยะนี้เป็นตัวอย่างอันดีของการร่วมมือระหว่างกระทรวงเพราะหัวหน้าสถานีทดลอง และอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแต่ละแห่ง คือคนคนเดียวกัน แต่สามารถบริหารงานข้ามสังกัดได้ และมีการใช้บุคคลร่วมกัน ผู้บริหารทั้ง 3 ท่าน นี้ ซึ่งต่อมาได้เป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อการเกษตรของประเทศเป็นอย่างมากคือ หลวงอิงคศรีกสิการ สังกัดกระทรวงธรรมการ เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมโนนวัด และหัวหน้าสถานีทดลองกสิกรรมภาคอิสาน หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ สังกัดกระทรวงธรรมการ เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม คอหงส์ และหัวหน้าสถานีทดลองกสิกรรมภาคใต้ พระช่วงเกษตรศิลปการ สังกัดทบวงเกษตราธิการ กระทรวงเศรษฐการ หัวหน้าสถานีทดลองกสิกรรมภาคพายัพ และ เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ นอกจากนี้ กรมตรวจกสิกรรมยังมอบหมายให้โรงเรียนประถมวิสามัญกสิกรรม รวม 12 แห่ง เป็น กิ่งสถานีทดลองกสิกรรมของกระทรวงเกษตราธิการด้วย เป็นที่น่าเสียดายว่า ความร่วมมืออันดีระหว่างกระทรวงธรรมการและกระทรวงเกษตราธิการนี้อยู่คงได้เพียง 3 ปีเท่านั้น เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม เพราะมรสุมทางการเมืองแล้ว นโยบายการศึกษาเกษตรก็ได้เปลี่ยนแปลงไป (เรียบเรียงจาก วิวัฒนาการของการศึกษาเกษตรในประเทศไทย กวี จุตติกุล คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หน้า 43-46 หนังสือ อนุสรณ์แม่โจ้ 50 ปี 02477-2527 ธนิต มะลิสุวรรณ บรรณาธิการ). เรียบเรียงสำหรับรายการ แม่โจ้เมื่อวันวาน ตำนานาแม่โจ้ ตอนที่ 1 สงวน จันทร์ทะเล 3 พฤษภาคม 2549

Read More


วิวัฒนาการของการศึกษาเกษตรในประเทศไทย

การศึกษาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง



อนุสาวรีย์คุณพระช่วงเกษตรศิลปการ

อนุสาวรีย์คุณพระช่วงเกษตรศิลปการ “บิดาเกษตรแม่โจ้” เริ่มก่อสร้างเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 แล้วเสร็จเดือนมกราคม พ.ศ. 2531 งบประมาณก่อสร้าง จำนวน 1,019,821 บาท เงินสมทบค่าก่อสร้างจากครอบครัวคุณพระช่วงฯ และศิษย์เก่าแม่โจ้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงกดปุ่มเปิดแพรคลุมรูป อำมาตย์โทพระช่วงเกษตรศิลปการ จากนั้นเสด็จฯ สู่ลานอนุสาวรีย์ฯ ทรงพระสุหร่ายแล้วทรงวางพวงมาลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 เวลา 15.00 น.

Read More


เรื่องจริงเรื่องโจ๊ก ในยุคสมัยแม่โจ้ รุ่น 16

ในสมัยก่อน สถานที่ราชการหยุดงานในวันอาทิตย์ จะมีนักเรียนสาว ๆ จากในเมืองเชียงใหม่พากันขี่รถจักรยาน มาเที่ยวแม่โจ้ในวันอาทิตย์ตอนบ่าย พอมาถึงก็ลงจากรถพากันไปถามกลุ่มคนที่ขุดดินอยู่แถวบริเวณถนนบางเขน ซึ่งโรงเรียนเกษตรกรรมกรรมแม่โจ้ ปักแนวให้นักเรียนที่ขาดการลงงานได้ชดใช้งานในระหว่างปี เพราะต้องลงงานทุกวันเช้าและบ่าย ไม่มียกเว้นในทุกกรณี คิดเป็น 4 คนต่อ 400 ตารางเมตร พวกเธอนักเรียนเหล่านั้นคงรู้สึกแปลกใจที่เหลียวมองไปทางไหน ก็เห็นแต่คนงานกำลังขุดดินตัดฟันต้นไม้-กิ่งไม้ บ้างก็ใช้เกวียนเอาคนลาก บ้างก็ใช้รถเนอสเซอรี่มาลากเข็นบรรทุกเอากิ่งไม้ นำมากองสุมกันไว้สูงท่วมหัว พวกเธอเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ “อ้ายเจ้า นักเรียนแม่โจ้ มีที่ไหนกันหมด เห็นมีแต่คนงาน” เพราะภาพที่พวกเธอเห็นมีแต่คนนุ่งกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อหม้อฮ่อมสีกระดำกระด่างไปด้วยคราบเหงื่อ ไม่ใส่รองเท้า มีผ้าขาวม้ามัดเอวไว้เช็ดเหงื่อ สวมหมวกด้วยใบตาลเก่า ๆ เพราะใช้กันแดดกันฝนมานาน หน้าตามอมแมม เหงื่อไหลไคลย้อย พวกเราคนหนึ่งตอบไปอย่างเขิน ๆ ว่า “วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พวกนักเรียนแม่โจ้ เขาเข้าไปแอ่วในเวียงกันหมดครับ!” ทำให้พวกเธอรู้สึกผิดหวัง ที่อุตส่าห์ปั่นรถจักรยานมาจากในตัวเมือง ผ่านถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นระยะทางไกลตั้ง ๑๘ กิโลเมตร ได้เห็นแค่พวกขุดดิน เห็นแต่ห้องเรียนที่มุงหลังคาด้วยใบตองตึงมีแผงไม้สานกั้นเป็นฝาห้อง ส่วนโต๊ะเรียน ม้านั่งก็นั่งอยู่กับพื้นดิน ตามพื้นมีตะไคร่สีเขียว ๆ มีร่องน้ำเล็ก ๆ รองชายคา พวกเธอรู้สึกผิดหวังมาก ที่จะได้พบเห็นนักเรียนแม่โจ้ ที่แต่งตัวนำสมัยเดินเฉิดฉายกรีดกรายโก้เก๋อย่างที่เคยพบเห็นในตัวเมืองหรือหน้าโรงหนังศรีนครพิงค์ จากคำกล่าวขานกันที่ว่า นักเรียนแม่โจ้ส่วนมากเป็นลูกพ่อเลี้ยงฐานะดีมีเงิน โดยเฉพาะคนภาคใต้เป็นลูกเศรษฐีเจ้าของเหมืองแร่ เจ้าของสวนทุเรียน สวนยางพารา ทั้งที่จริงแล้วนักเรียนแม่โจ้ในสมัยนั้นรู้กันดีว่าเป็นพวก “แต่งตัวเหมือนเทวดา กินอย่างหมู อยู่อย่างควาย” ... นิเวศน์ เชิงปัญญา (ณ ลำปาง วิรัตน์เกษม)... ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 16 หมายเหตุ: ภาพประกอบ การแต่งกายของนักเรียนแม่โจ้ รุ่น 15 และ รุ่น 16 เท่ขนาดไหน?

Read More


โรงอาหารแม่โจ้ ปี พ.ศ.2478

บรรยากาศของโรงอาหารโรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2478 หรือ 90 ปีที่แล้ว จากภาพถ่ายและบันทึกของทีมงาน ดร.โรเบิร์ต ลาริมอร์ เพนเดิลตัน นักวิทยาศาสตร์ทางดินชาวต่างประเทศ

Read More


นายร้อยแม่โจ้ เมื่อ 35 ปีที่แล้ว

รำลึกภาพในอดีต นายร้อยแม่โจ้กับอาวุธคู่กาย ปี พ.ศ. 2533 บริเวณด้านข้างหอพักชาย 1 ปัจจุบันคือหอพักนานาชาติหรือหอจีน เดินตรงไปอีกไม่เกิน 10 เมตรจะถึงบันไดขึ้นหอพักชาย 1 แต่ถ้าเลี้ยวขวา (ให้สังเกตหัวป้าย แม่โจ้...) จะเลี้ยวตามถนนดินไปหอพักชาย 2 ปัจจุบันเป็นหอพักชาย 3 เพราะมีหอพัก 5 ชั้นมาคั่นกลางเป็นหอพักชาย 2)

Read More


เวลาเป็นเงินเป็นทอง (นายร้อยแม่โจ้ รุ่น 55)

นายร้อยแม่โจ้ รุ่น 55 อาบน้ำเช้าแข่งกับเวลา เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2533 (เมื่อ 27 ปีที่แล้ว) ทันทีที่อาณัติสัญญาณ (ปรี้ดดดด) ดังขึ้น นายร้อยทุกคนที่อยู่ในชุดเตรียมพร้อมตั้งแต่เมื่อคืน โดยใส่กางเกงบอลนอนรอกันเลยทีเดียว (ส่วนใหญ่จะนอนไม่ค่อยหลับ ถึงหลับก็ไม่นาน เดี๋ยวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพื่อรอเวลา) ทั้งผ้าขาวม้า ผ้าขนหนู ขันน้ำ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ ยาสระผม เตรียมพร้อมเผ่นแผล็วออกจากที่ตั้ง speed เร็วกว่านรก ไปยังห้องน้ำด้านนอกตัวอาคารหอพัก ตั้งแต่สัญญาณหวีดเริ่มต้นจนถึงนกหวีดครั้งที่ 2 อันเป็นสัญญาณหมดเวลา ใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 10 นาที (วันต่อมา เวลาจะลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือไม่ถึง 5 นาที) วันแรก ๆ นายร้อยทั้งหมด ประสบการณ์ยังน้อย เปรียบเป็นพระบวชใหม่ก็ยังอ่อนพรรษา วันต่อ ๆ มาเริ่มแก่พรรษาขึ้น แปรงสีฟันที่ถูกบีบใส่แปรงรอ บางคนบีบยาสีฟันใส่ปากเลยก็มี มีจำนวนไม่น้อยไม่เอาสบู่ไปด้วยเพราะรู้แล้วว่ายังไงก็ไม่ทัน ขอแปรงฟันก็เพียงพอและมีบางคนบีบยาสระผมใส่ศรีษะรอกันเลยทีเดียว ทำไมจึงอาบน้ำ แปรงฟัน สระผมไม่ทัน? เป็นเพราะด้วยคนจำนวนมาก และด้วยเวลาที่ถูกบีบให้น้อยลง บางคนวิ่งไปยังไม่ถึงห้องน้ำ สัญญาณนกหวีดก็ดังหมดเวลาเสียแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายในช่วงเช้า วันไหนที่มีฝนตกลงมา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จะเห็นภาพนายร้อยบางคนมีฟองของยาสระผม ฟูฟ่องเต็มศรีษะ แต่ถ้าไม่มีฝนตก จะมีกิจกรรมทั้งวัน นายร้อยนายนั้น จะมีอาการคันศรีษะ หิมะตกตลอดวัน เป็นประสบการณ์ล้ำค่าและเล่าสู่กันฟังตราบจนทุกวันนี้ ท่านใดมีประสบการณ์และเรื่องเล่าที่มหัศจรรย์พันลึกนอกเหนือจากนี้ พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ที่ช่องแสดงความเห็นข้างล่างได้เลยครับ

Read More


เจ้าแม่ "แม่โจ้"

เจ้าแม่ “แม่โจ้” ถ่ายภาพเมื่อปี พ.ศ.2535 ณ ศาลเจ้าหลังเดิม เมื่อผมลงเรียนวิชาการถ่ายในงานส่งเสริม สอนโดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา ดำรงเกียรติศักดิ์ และเจ้าแม่เป็นสิ่งแรก ๆ ที่ผมอยากถ่ายภาพมากเป็นภาพแรก ๆ ของสถาบันฯ แม่โจ้ ตอนนั้นใช้กล้อง Nikon FM2 เลนส์ 50 m.m. F/1.8 และฟิลเตอร์ไซโคลน ราคา 200 กว่าบาท ด้วยฟิล์มไลด์ Kodak และสแกนเก็บไว้ในช่วงหลัง ก่อนถ่ายภาพได้อธิษฐานกับเจ้าแม่ แม่โจ้ ขอให้ได้ภาพที่สวยงาม และได้ภาพเป็นที่ระลึก อย่าได้ป่วยอย่าได้ไข้หรือเป็นอะไรไป และนี่เป็นผลงานในครั้งนั้นเมื่อ 28 ปีที่แล้ว และได้มาให้สมาชิกทุกท่านได้ชมกัน เพื่อให้ได้เห็นภาพหน้าท่านชัด ๆ

Read More


drff

sdfs

Read More


Thai Agricultural Culture Museum

Read More


แนะนำพื้นที่การจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตร (subthai)



แผนงาน

Read More


เจ้าแม่ “แม่โจ้” ถ่ายภาพเมื่อปี พ.ศ.2535 ณ ศาลเจ้าหลังเดิม เมื่อผมลงเรียนวิชาการถ่ายในงานส่งเสริม

Read More


เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีที่ห้วยโจ้

Read More


อนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย เมื่อแรกเริ่มการก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2535 (เมื่อ 29 ปีที่แล้ว) ณ หน้าสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้

Read More


ทุกสิ่งคืออนิจจัง ใครจะไปรู้ว่า มากกว่า 30 ปี

Read More


เรื่องเล่าจากหอพักผดุงศิลป์ เมื่อสมัยปี 2508-2509

Read More


ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 1 , อธิการบดี คนแรกของแม่โจ้

Read More


ภาพเก่าแม่โจ้ หาชมยากมาก

Read More


รถยนต์ยี่ห้อ Rambler ค.ศ.1958 รถประจำตำแหน่ง ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ ได้รับจากโครงการ USOM (United States Operation Mission) เมื่อปี พ.ศ.2515

Read More


กาลเวลาที่ผันผ่าน

Read More


วิวัฒนาการของการศึกษาเกษตรในประเทศไทย

การศึกษาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง



บิดาแห่งการเกษตรแม่โจ้ พระช่วงเกษตรศิลปการ

ชีวประวัติ อำมาตย์โท ดร.พระช่วงเกษตรศิลปการ (ช่วง โลจายะ) ขอเทิดพระคุณและบูชาบูรพาจารย์ อำมาตย์โท ดร.พระช่วงเกษตรศิลปการ (ช่วง โลจายะ) บิดาเกษตรแม่โจ้ ผู้บุกเบิกงานหนักเพื่อสร้างแม่โจ้ให้เป็นแหล่งความรู้ทางการเกษตรของประเทศไทย อำมาตย์โท พระช่วงเกษตรศิลปการ (ช่วง โลจายะ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๔๒ ปีกุน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๘ ณ บ้านแข่ ตำบลพระประแดง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นบุตรคนเล็กในจำนวนพี่น้องสองคนของร้อยเอก หลวงศรีพลแผ้ว ร.น. (ขาว โลจายะ) กับนางทองหยด โลจายะ การศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนวัดทรงธรรม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมวัดสุทัศน์ วัดราษฎร์บูรณะ และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตามลำดับ ระหว่างเรียนที่สวนกุหลาบในชั้นมัธยม ๗ และ ๘ นั้น นับเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง โดยได้คะแนน เป็นลำดับที่ ๑ ของชั้น ได้นั่งโต๊ะเรียนพระราชทานของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๖ มาโดยตลอด ได้รับทุนรัฐบาลไทยไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ (University of the Philippines at Los Banos) จนจบชั้นปีที่ ๓ จากนั้นรัฐบาลไทยได้ส่งตัวไปศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีและโท ทางสัตวศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิล (University of Wisconsin) สหปาลีรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗ นับเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเกษตรจากต่างประเทศคนที่ ๒ ของประเทศไทย เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ได้รับราชการในกระทรวงธรรมการ และกระทรวงกลาโหมตามลำดับ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๖ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร อธิบดีกรมตรวจกสิกรรม ได้ขอตัว พระช่วงเกษตรศิลปการ จากกระทรวงกลาโหม เพื่อไปบุกเบิกงานสถานีทดลองกสิกรรมภาคพายัพ บ้านแม่โจ้ เชียงใหม่ และในปี พ.ศ.๒๔๗๗ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ เพื่อให้ทำงานควบคู่กัน กับโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ซึ่งเป็นการศึกษาเกษตรระดับสูง ที่จัดโดยกระทรวงธรรมการ ซึ่งดำเนินการที่แม่โจ้อยู่เพียงแห่งเดียวในเวลานั้นจนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๑ จึงยุบเลิก แต่ให้จัดหลักสูตรมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมขึ้นแทนตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๘ หลังการยุบเลิกหลักสูตรครูประถมกสิกรรมทุกแห่งและถูกโอนไปสังกัดกระทรวงเกษตราธิการแล้ว จึงได้ตั้งเป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ หลักสูตร ๓ ปี ระดับอนุปริญญา ในปี พ.ศ.๒๔๘๑ พระช่วงเกษตรศิลปการ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมเกษตร รวมเวลา ที่ท่านอยู่สร้างแม่โจ้ ๖ ปี คือ พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๑ หลังจากดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางราชการตั้งแต่อธิบดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ และเป็นทูตวัฒนธรรมและผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ พ.ศ.๒๕๑๐ พระช่วงเกษตรศิลปการ กลับมาเยี่ยมแม่โจ้ เพื่อพบปะนักศึกษา ครู อาจารย์ และศิษย์เก่า ท่านได้ให้โอวาทสำคัญความตอนหนึ่งว่า “สถานศึกษาแม่โจ้แห่งนี้จะเจริญเติบโต ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคงนั้นจะต้องประกอบด้วย มีครูดี นักศึกษาดี และมีศิษย์เก่าดี ที่จะช่วยพยุงค้ำชูให้มั่นคงแข็งแรงต่อไป” พระช่วงเกษตรศิลปการ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันเทคโนโลยีการเกษตร ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๒๒ และได้รับพระราชทานปริญญาเทคโนโลยีการเกษตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพืชศาสตร์ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ท่านมีภริยา คือ คุณหญิงช่วงเกษตรศิลปการ (สำอางค์ ไรวา) มีบุตรและธิดารวม ๖ คน อำมาตย์โท ดร.พระช่วงเกษตรศิลปการ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริอายุ ๘๘ ปี ๕ เดือน ๒๑ วัน เราเหล่าชาวแม่โจ้ ขอเทิดพระคุณและบูชาบูรพาจารย์ผู้เป็นปูชนียบุคคล ตราบชั่วนิรันด์กาล

Read More


อนุสาวรีย์ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย

การถึงแก่อสัญกรรมของศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2527 นั้น ยังความอาลัยและเสียใจยิ่งแก่บรรดาศิษย์ มิตร ญาติและผู้ที่คุ้นเคยรู้จักท่าน เนื่องจากท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองมาก จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุเคราะห์ในการศพในโอกาสพระราชทานเพลิงศพเมื่อวนที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ณ สุสานแม่โจ้ อย่างมีเกียรติและสมศักดิ์ศรี ท่านได้ปกครองแม่โจ้เป็นระยะเวลายาวนาน ได้ฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ คณานับเพื่อมุ้งสร้างสถานศึกษาแม่โจ้ให้เติบโตและแข็งแรง จากเดิมที่มีฐานะเป็นโรงเรียนเกษตรกรรมเล็ก ๆ จนเป็นสถาบันที่สามารถให้การศึกษาได้ถึงขั้นปริญญาสูงสุดทางการเกษตร เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วไป ท่านเป็นครูที่ประเสริฐ เห็นอกเห็นใจและเข้าใจปัญหาของศิษย์ทั่วไป ความมีน้ำใจและอัธยาศรัยอันดีต่อทุกคนนั้นได้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ในการอยู่ร่วมกับสังคมปัจจุบันอย่างมีเกียรติและสมศักดิ์ศรี ท่านมิเพียงแต่จะให้ความรู้เท่านั้น แต่ได้หล่อหลอมวิญญาณและสปิริตของการต่อสู้งานหนัก การเคารพอาวุโสและความรักในงานเกษตรอีกด้วย ท่านจึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญในฐานะปูชนียบุคคล ที่ได้สร้างและพัฒนาสถานศึกษาแม่โจ้สืบต่อมาร่วม 30 ปี เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป ในช่วงระหว่างงานพระราชทานเพลิงศพเท่านั้น องค์การนักศึกษาแม่โจ้ และศิษย์เก่าแม่โจ้พบปะหารือร่วมกันหลายครั้งเพื่อพิจารณาจัดสร้างสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยคุณค่า และความรักท่านให้เป็นที่ประจักและเป็นแบบอย่างแก่คนทุกรุ่นต่อไป ในที่สุดองค์การนักศึกษาแม่โจ้ พ.ศ. 2528 ได้รับเป็นองค์กรกลางในการดำเนินงานร่วมกับศิษย์เก่า แม่โจ้ และท่านที่เคารพนับถือ เพื่อจัดสร้างอนุสาวรีย์รูปเหมือนศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย โครงการฯ (เขียนขึ้นโดย องค์การนักศึกษาแม่โจ้ พ.ศ. 2528) 1. การดำเนินงาน องค์การนักศึกษาแม่โจ้ พ.ศ. 2528 นำโดยจรูญ พุทธจรรยา นายกองค์การนักศึกษา พร้อมด้วยคณะกรรมการ อ.น.ม. และอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์สวิก เพ็งอ้น 2. สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์ กำหนดขึ้นบริเวณใกล้กับอาคารวิภาต บุญศรี วังซ้าย สำหนักหอสมุดหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ 3. ระยะเวลาดำเนินการ การก่อสร้างอนุสาวรีย์ การปรับปรุงบริเวณ และงานอื่น ๆ โดยรอบอนุสาวรีย์ ในโครงการระว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด (คาดว่าน่าจะเป็นปี 2529) 4. ค่าใช้จ่าย ระบุว่าประมาณ 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) ทั้งนี้รวมทั้งฐานอนุสาวรีย์ บริเวณโดยรอบและการจดตกแต่งสวนรอบบริเวณอนุสาวรีย์ งบประมาณเริ่มต้นนั้น องค์การนักศึกษา แม่โจ้ ได้รับเงินบริจาคบางส่วน รวมเป็นเงิน 46,765 บาท (สี่หมื่นหกพันเจ็ดร้อยหกสิบห้าบาทถ้วน) โดยระบุว่าถ้ามีคนเหลือจากการสร้างอนุสาวรีย์ครั้งนี้จะได้นำบริจาคสมทบเป็นมูลนิธิของศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย 5. ลักษณะอนุสาวรีย์ 5.1 เป็นอนุสาวรีย์รูปเหมือนในชุดปกติ สายสะพายมหาวชิรมงกุฎ ท่ายืน 5.2 สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ 5.3 อนุสาวรีย์ยืนอยู่บนฐานสูงขนาดพองามบนลานอนุสาวรีย์ แวดล้อมด้วยพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ ร่มรื่นและหลากสี 5.4 สร้างบนพื้นที่กว้าง เด่นเป็นสง่าบริเวณอาคารวิภาต บุญศรี วังซ้าย ที่ทำการสำนักหอสมุด สถาบันเทคโนโลยีดารเกษตรแม่โจ้ 5.5 เป็นสถานที่บรรจุอัฐส่วนหนึ่งของท่าน เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิริมงคลแก่ผู้สักการะ (อัฐดังกล่าวได้รับมอบจากนายเสวียน หอมนาน ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 10 ผู้ซึ่งเคารพศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย มากและได้รับอัฐไปเก็บไว้เพื่อเคารพบูชาจำนวนหนึ่งแบ่งมาให้บรรจุภายในอนุสาวรีย์ฯ) ต่อมาภายหลังแบบขแงนุสาวรีย์ถูกเปลี่ยนจากท่ายืนเป็นท่านั่ง อย่างไรก็ดีการดำเนินการก่อสร้างอนุสาวรีย์ฯ ดังกล่าวมีความล่าช้าไม่สามารถดำเนินได้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด จึงมีการขยายเวลาออกไป และมีพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 12 มีนาคม 2533 จากนั้นอีกสองปีต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดพิธีอนุสาวรีย์ฯ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2535 ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้กำหนดให้วันที่ 30 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันวิภาต บุญศรี วังซ้าย” เพื่อระลึกถึงพระคุณท่านต่อสถานศึกษาและศิษย์ของท่าน

Read More


เรื่องเล่าจากหอพักผดุงศิลป์ เมื่อสมัยปี 2508-2509

รูปทรงหอพักสมัยก่อน ยุครุ่น 20 กว่า ๆ จนถึง 30 กว่า ๆ เป็นอาคารไม้สองชั้น รุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่ามีความอบอวลด้วยมิตรภาพระหว่างเพื่อนยากจะลืม อดก็อดด้วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ใครที่แปลกแยกก็จะไม่มีเพื่อน พี่ประวิทย์ ตัณฑ์ทวี ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 30 เคยเล่าให้ผมฟังว่า หอพักที่พวกเราอยู่มีหน้าตาเหมือนกันทุกหอ จะต่างกันเพียงชื่อของหอพักเท่านั้น แรก ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแม่โจ้ จากเพื่อนใหม่นั้นสนิทเป็นเพื่อนเก่าอย่างรวดเร็ว คนที่เคยเห็นแก่ตัวก็มาปรับตัวได้ที่แม่โจ้ อย่างเช่น ไฟจากตะเกียงดับลง ความมืดเข้าครอบคลุม ในท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด กลับได้เสียงกรอบแกรบ ๆ นั่นเพื่อนกำลังแอบกินขนมคนเดียว วันต่อก็เจอแก้เผ็ดเจอเพื่อน ๆ แอบค้นตู้และขนมภายในตู้ก็ถูกขโมยไปจนสิ้น บางคนน้ำมันจากตะเกียงที่ใช้อ่านหนังสือ ชอบปฏิเสธเพื่อนเวลาขอยืมน้ำมันแต่ชอบปฏิเสธว่าหมดแล้ว ปรากฏว่าในคืนต่อมาเจ้าของกลับโวยวายเมื่อตะเกียงจุดไม่ติดทั้ง ๆ ที่เขย่าตะเกียงดูก็รู้สึกว่าน้ำมันเต็ม แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนแอบขโมยน้ำมันไปแล้วเยี่ยว (ปัสสาวะ) มาใส่ตะเกียงแทน หรือในยุคนั้นกางเกงยีนส์ ใครมีถือว่าเท่มาก รองเท้าใหม่ ๆ ก็ต้องระวังซักแล้วต้องนั่งเฝ้าให้ดี เผลอเป็นไม่ได้เพื่อนแอบขโมยไปใส่ในเวียง (เพื่อนก็อยากหล่อเหมือนกัน ยืมไปใส่ในเวียงสักวัน จะอะไรกันนักหนา 555) นี่เป็นเสี้ยวหนึ่งของเรื่องเล่าจากพี่ประวิทย์ จากความทรงจำเก่า ๆ ที่ “หอพักผดุงศิลป์” วิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2508-2509

Read More


นางอุไรภัสร์ ชัยเรืองวุฒิ

Read More


การจัดแสดงนิทรรศการ

Read More


ห้องนิทรรศการ เกษตรแม่โจ้ กับการสนองงานสถาบันพระมหากษัตริย์ (subthai)



พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตรไทย มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ประวัติความเป็นมา อาคารหลังนี้ เมื่อ พ.ศ. 2510 เคยเป็นสถานที่ถวายการต้อนรับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จำนวนหลายวาระโอกาส ต่อมาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เสด็จที่บ้านพักหลังนี้ด้วยในโอกาสต่าง ๆรวมทั้งส่วนพระองค์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ตรัสกับอาจารย์วิภาต บุญศรี วังซ้าย ว่า “บ้านหลังนี้ดีนะอยากให้เก็บรักษาไว้อย่ารื้อทิ้งนะ” อาคารพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตรไทย แต่เดิมเป็นบ้านพักอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการและอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2488 ภายหลังที่ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย อธิการบดีท่านแรก เกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2526 อธิการบดีท่านต่อมาไม่ได้เข้าพักอาศัย เนื่องจากมีที่พักอยู่แล้วบ้านหลังนี้จึงว่างเปล่า ไร้คนอาศัยจวบจนปี พ.ศ. 2542 สมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีความเห็นร่วมกันในการอนุรักษ์ไว้โดยจัดตั้งเป็น “พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตรไทย” ปรับปรุงแล้วเสร็จ มีพิธีเปิดในวันที่ 5 มิถุนายน 2543 ปัจจุบัน กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม โดยงานพิพิธภัณฑ์การเกษตรและวัฒนธรรมไทย ได้รับมอบหมายจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในการบริหารและจัดการพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตรไทยสืบต่อจากสมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ โดยได้ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่รอบอาคาร ป้ายชื่อต้นไม้ ปรับปรุงอาคารกลางแจ้ง อาคารเรือนพักจำลอง พ.ศ. 2480 อาคารล้านนาปรับปรุงระบบไฟฟ้า อาคารแสดงเครื่องทุนแรงทางการเกษตรทางเดินคอนกรีตเชื่อมทุกอาคาร เป็นต้น

Read More


ชีวประวัติ (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย)

ขอเทิดพระคุณและบูชาบุรพาจารย์ผู้เป็นปูชนียบุคคล ศาสตราจารย์ ดร. วิภาต บุญศรี วังซ้าย ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น ๑ อดีตอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ อธิการบดี “แม่โจ้” พ.ศ.๒๔๙๗-๒๕๒๖ เจ้าของวลี “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๙ ณ บ้านสันกลาง ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ เป็นบุตรคนที่ ๗ ของนายบุญมา กับนางบัวเกี๋ยง วังซ้าย เริ่มต้นการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๖ ที่โรงเรียนพิริยาลัย จังหวัดแพร่ จากนั้นย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ เรียนอยู่ได้ปีเดียวเมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมประจำภาคเหนือขึ้นที่บ้านแม่โจ้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ ท่านจึงย้ายเข้ามาเรียนเป็นรุ่นแรก รุ่นบุกเบิกของแม่โจ้ หลังจากจบการศึกษาจากแม่โจ้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ เข้าบรรจุทำงานเป็นพนักงานยางที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หนึ่งปีต่อมาสามารถสอบชิงทุนหลวงไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เมืองลอสบันโยส (UPLB) หลังจากเข้ารับราชการแล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ เดินทางไปศึกษาและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเกษตร ณ มหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี ๒๔๘๔ หลังจากสำเร็จการศึกษาจากฟิลิปปินส์ ท่านกลับมาเป็นอาจารย์ที่แม่โจ้ตำแหน่งอาจารย์ผู้ปกครอง ก่อนลาออกไปสมัครแข่งขันเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ ประสบความสำเร็จเป็นนักการเมืองหนุ่มที่มีอนาคตไกล และได้รับทาบทามให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกสิกร อย่างไรก็ตามมรสุมทางการเมืองทำให้เกิดยุบสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ.๒๔๙๑ เมื่อสมัครลงเลือกตั้งใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ ท่านจึงอำลาชีวิตนักการเมืองไปเป็นเกษตรกรทำไร่ สวนผักส่วนตัวที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาตลอด ๘ ปีเต็ม พ.ศ.๒๔๘๗ หลวงปราโมทย์ จรรยาวิภาต อธิบดีกรมอาชีวศึกษา ได้ขอร้องให้ท่านไปช่วยพัฒนาการศึกษาเพราะยังขาดผู้บริหารโรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ท่านจึงกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งข้าราชการชั้นเอกเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้พัฒนาการศึกษาโรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ จนมีความก้าวหน้าและยอมรับอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นท่านได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ และดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีการเกษตร แม่โจ้ ๒ สมัย และท่านเป็นเจ้าของคำสอนให้กับนักเรียนนักศึกษาให้อดทนและสู้งาน จนเป็นวลีอมตะว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” นอกจากด้านการพัฒนาการศึกษาจากโรงเรียนจนได้รับยกฐานะเป็นวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ระดับอุดมศึกษาแล้ว ท่านเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยได้รับใช้สนองเบื้องพระยุคลบาทด้านการเกษตรอย่างใกล้ชิดแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งยังได้สร้างผลงานและโครงการสำคัญๆ ที่มีคุณค่าและประโยชน์ยิ่งต่อประชาชน สังคมและประเทศชาติหลายด้าน อาทิ การอบรมวิชาชีพด้านการเกษตรต่างๆ ตามโครงการพัฒนาอาชีพชาวไทยภูเขาแก่นายตำรวจตระเวนชายแดน และชาวเขาเผ่าต่างๆ ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๔-๒๕๑๔ ถวายงานตามพระราชประสงค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ได้แก่ การนำนักศึกษาพัฒนาสร้างสวนดอกไม้และสวนผักเมืองหนาว ตลอดจนปลูกต้นไม้ใหญ่บริเวณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และตามเสด็จเพื่อถวายงานด้านการเกษตรทุกครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วภาคเหนือ ร่วมกับคณาจารย์ที่สำเร็จศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งแห่งประเทศไทย หน่วยแม่โจ้ เป็นหน่วยแรกของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ ร่วมกับองค์การ SEARCA ประเทศฟิลิปปินส์ จัดตั้งศูนย์พัฒนาชนบทขึ้นที่หมู่บ้านโปง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมจัดตั้งโครงการหลวงเกษตรภาคเหนือกับหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีโครงการเพื่อพัฒนาสังคมไทยในนามของแม่โจ้ ร่วมกับกองทัพภาคที่ ๓ องค์กรภาครัฐ เอกชน มากกว่า ๑๐๐ โครงการ และเกษียณอายุราชการหลังจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ สมัยที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ ขณะนั้นอายุ ๖๗ ปี ชีวิตครอบครัว ท่านสมรสกับนางสมจินต์ วังซ้าย (สกุลเดิม ตุงคพลิน) มีบุตรและธิดารวม ๔ คน ศาสตราจารย์ ดร. วิภาต บุญศรี วังซ้าย ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ สิริอายุ ๖๘ ปี ขอเทิดพระคุณและบูชาบุรพาจารย์ผู้เป็นปูชนียบุคคล ศาสตราจารย์ ดร. วิภาต บุญศรี วังซ้าย ผู้สืบสานและพัฒนางานหนักเพื่อสร้างแม่โจ้ ให้เป็นแหล่งความรู้ทางการเกษตรชั้นนำของประเทศไทย



วิวัฒนาการแม่โจ้ วิวัฒนาการเกษตรไทย (subthai)



นายอนุสรณ์ วิจารณ์ปรีชา

Read More


นิทรรศการภายในอาคารหลัก

ส่วนที่ 1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้

Read More


ศาสตราจารย์ ดร.พนม สมิตานนท์

ที่เกิด ตำบลสวนมะลิ อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดพระนคร เมื่อ วันศุกร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ เวลา 21.00 น. ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2453 นามบิดา พันโท พระจงสรวิทย์ (เพี้ยน สมิตานนท์) นามมารดา น้อม (สกุลเดิม แท่งทอง) นามภริยา บุญมี (สกุลเดิม อรุณสิทธิ์) สมรส วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2480 มีบุตรธิดา 6 คน การศึกษา สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 จาก โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ พ.ศ. 2471 -ได้รับปริญญาตรีทางเกษตรศาสตร์ จาก ลอสบบันโยส มหาวิทยาลัยแห่งประเทศฟิลิปปินส์ Bachelor of Science in Agriculture (B.S.A) University of the Philippines, (Los Banos) พ.ศ. 2477 -ได้รับปริญญาโท Master of Science (M.S.) Cornell University พ.ศ.2501 -ได้รับปริญญาเอก Doctor of Education (E.d.D.) Cornell University พ.ศ. 2503 การงาน พ.ศ. 2477 บรรจุเป็นอาจารย์กรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ วันที่ 11 มกราคม 2477 พ.ศ. 2478 อาจารย์โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ เชียงใหม่ ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการ เป็นอาจารย์ผู้ปกครอง-นักฟุตบอล นักวิชาการเกษตร ก่อตั้ง สมาคมนักเรียนเก่าแม่โจ้ ในปี พ.ศ. 2490 ย้ายไปประจำกรมศึกษาธิการในปี พ.ศ. 2495 รวมเป็นเวลาที่เป็นอาจารย์ที่แม่โจ้ 17 ปี พ.ศ. 2497 เป็นอาจารย์เอก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2500 เป็นศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2512 ลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เพราะรับราชการนาน และไปเป็นผู้อำนวยการและ ผู้ชำนาญการ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย เสียชีวิต วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 รวมอายุ 71 ปี ศาสตราจารย์พิเศษอินทรีย์ จันทรสถิตย์ ได้กล่าวถึงศาสตราจราย์พนมไว้ว่า.. “ศาสตราจารย์พนม ได้นำเอากิจกรรมหลายอย่างเข้ามาใช้ในแม่โจ้ เพื่อให้ลูกแม่โจ้ได้มีจิตใจผูกแน่นซึ่งกันและกัน เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและปรับปรุงตนเองให้เป็นนักศึกษาที่ดี อดทนต่อการงานและฝึกตนเองให้เหมาะสมกับการที่จะออกไปต่อสู่กับโลกภายหน้าได้เป็นอย่างดี ผู้จบวิชาเกษตรจากแม่โจ้ จะสมัครเข้าทำงานที่ใด ผู้จะจ้างก็แบมือรับเพราะเห็นว่าลูกแม่โจ้ทำจริง ไม่หยิบโหย่ง ทำให้การงานของผู้จ้างดำเนินไปโดยดี” คุณปราณี แจ้งเจนกิจ แม่โจ้ รุ่น 7 กล่าวถึง ศาสตราจารย์พนมไว้ว่า “ศาสตราจารย์พนม สมิตานนท์ มีคุณลักษณะสมเป็นผู้นำในด้านกีฬา ดนตรี การศึกษา และมีเมตตากรุณาต่อศิษย์โดยไม่เลือกหน้า ขยันขันแข็งในหน้าที่การงาน มีระเบียบวินัย และมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ ท่านได้ตั้งทีมฟุตบอลที่แข็งแกร่งของเชียงใหม่ขึ้น จนต้องส่งทีมจากกรุงเทพฯ ไปแข่งขันด้วย ท่านเล่นจริงจังในเกมกีฬาเสมอ นอกจากฟุตบอล ท่านได้ตั้งทีมรักบี้ขึ้นด้วยและได้ตั้งทีมวอลย์บอล เทเบิลเทนนิส ยูโด ตะกร้อ สรุปแล้วในเรืองกีฬาท่านสนับสนุนอย่างเต็มที่ แม้แต่การแข่งขันกีฬาภายใน ท่านก็เชิญข้าหลวงจากเชียงใหม่มาทำพิธีเปิดงานด้วย” พลตำรวจโท เลื่อน ปัณฑรนนทกะ (อดีตผู้บังคับหมวดสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่) กล่าวถึงศาสตราจราย์พนม ไว้ว่า. “สาเหตุที่รู้จักนั้น เพราะ แต่ละคราวที่มีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างโรงเรียนที่สนามโรงเรียนยุพราชนั้น ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ โดยปกติถ้าทีมฟุตบอลโรงเรียนแม่โจ้ไม่ได้ลงแข่งขัน เหตุการณ์จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าแม่โจ้ลงแข่งขันคนดูฟุตบอลที่มาเชียร์แม่โจ้และทีมคู่แขงขัน จะเกิดการโห่ร้องและรวนกันไปมา แล้วก็หมัดมวยวุ่นก้นไปทั้งสนาม สาเหตุที่เป็นดังนี้เพราะทีมแม่โจ้เป็นทีมแข็งแกร่ง ไม่ค่อยแพ้ใคร ทีมที่มาลงแข่งขันด้วยพยายามเอาชนะให้ได้ แม่โจ้หรือจะยอม การเล่นจึงมักรุนแรง ผู้ดูก็เลยรุนแรงกันไปด้วย วิธีป้องกันต้องอาศัยอาจารย์ของแต่ละโรงเรียน ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงรู้จักอาจารย์จากโรงเรียนต่าง ๆ หลายท่าน แต่ที่ประทับใจจริง ๆ คือ ท่านศาสตราจารย์ ดร.พนม สมิตานนท์ ซึ่งในขณะนั้นท่านคงเป็นอาจารย์เท่านั้น” นาวาโทรบำรุง สรัคคานนท์ ร.น. กล่าวไว้ว่า “ผมยังจดจำติดตาตรึงใจอยู่จนบัดนี้ ถึงภาพเหตุการณ์วันที่ท่านจะออกเดินทางจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ ในปี .ศ. 2494 เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปดูงาน ณ สหรัฐอเมริกา ภาพที่จารึกอยู่ในความทรงจำของผมในวันนั้นก็คือ ภาพที่นักเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้และครูอาจารย์ต่างพากันร่วมร้องเพลงแม่โจ้ ด้วยเสียงอันก้องกังวาน ท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหายรวมทั้งเพื่อนข้าราชการ ที่พากันไปชุมนุมส่งอย่างหนาแน่นจนแทบล้นบริเวณชานชาลาสถานี ยังความตื้นตันปิติแก่ผู้ได้ยินได้ฟังทั่วทุกคน แสดงถึงความรักความห่วงใยที่เขาเหล่านั้นมีต่ออาจารย์ใหญ่ของเขาอย่างเหลือล้น ซึ่งผมเองยังไม่เคยได้ประสบพบเห็นจากที่ใดมาก่อน...” ------------- เรียบเรียงจาก/หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ ดร.พนม สมิตานนท์ 13 ตุลาคม 2522 สงวน จันทร์ทะเล 1 กรกฎาคม 2549 “แม่.....โจ้” เพลงชาติแม่โจ้ โดย ปราโมทย์ บัวชาติ รุ่น 2 คุณไสว บุณยปรัดยุษ (แม่โจ้ รุ่น 2 พ.ศ. 2478) นักเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม รุ่น 1 ผู้ประพันธ์เพลงนี้ทั้งเนื้อร้องและทำนอง ได้เกิดจินตนาการแต่งเพลงนี้ขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2488 ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ (ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2478/ผู้เรียบเรียง) ธรรมชาติรอบข้างปลุกความรู้สึกของคุณไสวให้หายง่วง และเกิดอารมณ์อ่อนไหวไปกับธรรมชาติ คุณไสวครวญเพลง Love Song the Nile และคิดคำนึงอยู่หลายเที่ยว เพลงนี้เป็นเพลงทที่มีลีลาโหยหวนเร้าใจ น่าจำนมาเป็นทำนองเพลงเชียร์ของโรงเรียนได้ จึงคิดสรรหาเนื้อเพลงเข้าประกอบทำนอง คิดฮัมเพลงอยู่พักใหญ่ก็ได้เนื้อเพลงที่พอดีกับทำนอง ในบรรยากาศของเสียงธรรมชาติรอบข้าง กลิ่นหอมของดอกไม้ และแสงสกาวของแสงจันทร์ในคือเดือนเพ็ญ เนื้อเพลงทิ่ดได้มีดังนี้ “แม่....โจ้ ไชโยพวกเรา ใหม่....เก่า พวกเราไชย ช่วยกันโห่ เพื่อแม่โจ้ของเรา” เท่านี้ยังไม่พอเนื้อเพลงสั้นไป วันต่อมาจึงคิดหาเนื้อและทำนองเพิ่มเติมเข้าไป คุณไสว เป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์มาก่อน จึงนำเพลงเชียร์ของโรงเรียนอำนวยศิลป์บางตอน มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับแม่โจ้ ได้เนื้อเพลงใหม่ดังนี้ “คณะเราไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี เขียว ขาว เหลือง อยู่ที่ใด ชัยต้องมี เขียว ขาว เหลือง สามสีนี้ คือดวงใจ เชื่อเถิด เชื่อเถิด เราไม่ให้ต่ำลง เชื่อเถิด เชื่อเถิด เราก้าวหน้าตรงไป จรรยา วิชา และกีฬาใด ๆ เราต้องประคองเอาไว้ระดับที่ดี” * คุณปราโมทย์ บัวชาติ รุ่น 2 ศิษย์เก่าดีเด่น ประจำปี 2538 * เป็นศิษย์เก่า คนเด่น หนึ่ง ใน “คนเด่น 70 ปี แม่โจ้” นักส่งเสริมเกษตรและนักเขียนผู้ปิดทองหลังพระเพื่อหประวัติศาสตร์งานเกษตร ใช้ทำนองเพลงเชียร์ของโรงเรียนอำนวยศิลป์ในส่วนที่คิดได้ใหม่นี้ และใช้เนื้อทำนองที่คิดได้ครังแรกเป็นตอนต้นเสียงและร้องนำ ส่วนที่คิดได้ตอนหลีงใช้เป็นเนื้องร้องของลูกคู่ คุณไสวได้นำเพลงนี้ไปเสนอแก่นักเรียนฝึกหัดครูรุ่นพี่ ปีที่ 2 (รุ่น 1/ผู้เรียบเรียง) ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วย ได้นำเสนอไปยังอาจารย์ใหญ่ คุณพระช่วงเกษตรศิลปะการ (ซึ่งท่านชอบดนตรีอยู่ก่อนแล้ว/ผู้เรียงร) ท่าน มีความเห็นว่า เหมาะสมดี ใช้ได้ เพลงนี้จึงได้ถูกนำเสนอต่อที่ประชุมนักเรียนในเวลาต่อมา คุณแผ่พืช เทพหันสดิน ณ อยุธยา (รุ่น 2/ผู้เรียบเรียง) เป็นต้นเสียง เมื่อนักเรียนส่วนใหญ่รับรองเห็นชอบแล้ว ก็เริ่มฝึกซ้อมจนร้องงกันได้ทั่วกัน ต่อมา ได้นำไปร้องเชียร์ในการแข่งขันกีฬา ทั้งในกีฬานักเรียนและกีฬาประชาขน ในโอกาสต่าง ๆ ตลอดมา ลูกแม่โจ้รุ่นน้อง ๆ ได้ยกย่องให้เกียรติ “เพลงแม่โจ้” เป็นเพลงสำคัญประจำโรงเรียน ในงานพิธีสำคัญ ๆ และมีเกียรติ ทั้งทีทเป็นพิธีการของโรงเรียน หรืองานพิธีที่นักเรียนจัดขึ้นตามโอกาสและสถานที่ต่าง ๆ เพลงนี้จะถูกอัญเชิญมาร้อง แล้วลูกแม่โจ้ทุกรุ่น ทุกวัย จะร่วมกันร้องด้วยความพร้อมเพรียง ด้วยความเคารพและภาคภูมิใจ “จริงสิ.. ถึงแม้ผมจะออกจากโรงเรียนมานานหลายปีแล้วก็ตาม ผมก็เห็นชอบด้วยกับความดำริของน้อง ๆ เป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นได้ว่า เพลงนี้เป็นเพลงแรกของ แม่โจ้ และเป็นเพลงเดียวที่ได้รับความนิยมจากลูกแม่โจ้ทุกรุ่น ทุกคนร้องได้แม่นยำ ไม่หลงลืม จึงนับเป็นเพลงอมตะของแม่โจ้อย่างแท้จริง ซึ่งเราลูกแม่โจ้ทุกคนเชื่อและหวังว่า เพลงนี้จะยังคงยืนอยู่คู่แม่โจ้ของเรา ตลอดไปจนชั่วกาลนาน” เรียบเรียงจาก “ความเป็นมาของเพลงแม่โจ้” โดยปราโมทย์ บัวชาติ รุ่น 2 หนังสือเกษตร-แม่โจ้ ที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 82 อำมาตย์โท พระช่วงเกษตรศิลปะการ (ช่วง โลจายะ) 20 กรกฎาคม 2524 นำเรื่องเพลงชาติแม่โจ้ และสระเกษตรสนานมาลง เพื่อให้พวกเราได้ระลึกถึงวันเก่าที่ผ่านมา หลายคนไม่มีโอกาสไปเห็นสระเกษตรสนานอีกครั้ง ตั้งแต่วันคลอดเป็นลูกแม่โจ้ หลายคนนึกสภาพไม่ออกแล้วว่า สระเกษตรสนานเป็นอย่างไร หลายคน หลายปีแล้วไม่เคยร่วมร้องเพลงชาติ กับพี่น้องลุกแม่โจ้เลย...... *** สระเกษตรสนาน งานฤดูหนาวจังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2478 นั้น งานเริ่มตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2478 ถึงวันที่ 5กมกราคม 2479 ทางสถานีทดลองกสิกรรมภาคพายัพแม่โจ้ และโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ก็ได้จัดนิทรรศการแสดงกิจกรรมการเกษตรด้วยโดยใช้อาคาร “เรือนเพชร” โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเป็นที่จัดแสดง เป็นครั้งแรกที่มีการออกร้านนิทรรศการของหน่วยงานราชการจากส่วนกลางไปร่วมงานฤดูหนาวเชียงใหม่ วันที่ 18 ธันวาคม 2478 อาจารย์ใหญ่ คุณพระช่วงฯ ได้หารือกับนักเรียนทั้งหมด 300 คนเศษ ในวันปิดภาคเรียนเทอมกลาง ถึงการรวมพลังความสามัคคีช่วยกันขุดสระเป็นอนุสรณ์และพัฒนาพื้นที่ในโรงเรียน โดยร่วมมือกันขุดสระกว้าง 30 เมตร ยาว 60 เมตร ความลึกบริเวณหอกระโดด 3 เมตร ที่เหลือลึก 2 เมตร วันที่ 20 ธันวาคม 2478 แบ่งงานขุดเป็นกลุ่ม ๆ ทำการรังวัดแบ่งเขตรับผิดชอบและทุกคนต้องขุดให้เสร็จตามที่รับมอบงานไป ขุดเสร็จแล้วจึงจะไปเที่ยวงานฤดูหนาวได้ วันที่ 22 ธันวาคม 2478 ทุกคนเริ่มลงมือขุด และยึดถือคำสอนของอาจารย์ใหญ่ คุณพระช่วงฯ “จงทำงานให้เหมือนเล่น แต่อย่าทำงานเป็นเล่น” ทุกคนทำงานด้วยความตั้งใจเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามที่วางแผนไว้ ทำงานด้วยใจมุ่งมั่นให้งานสำเร็จ วันที่ 29 ธันวาคม 2478 งานสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ อาจารย์ใหญ่สั่งให้ระบายน้ำเข้าสระได้ตั้งแต่ตอนเช้า และน้ำเต็มสระเมื่อเวลา 15.00 น. ที่ประชุมตกลงให้เรียกชื่อสระตามคำเสนอของ คุณละมัย เพศยนิกร (ร่น 1) ว่า “เกษตรสนาน” อาจารย์ใหญ่ คุณพระช่วงฯได้กล่าวแก่พวกเราในวันนั้นว่า ท่านดีใจและปลื้มใจมากที่ “สระเกษตรสนาน” ได้เกิดขึ้นแล้วตามความปรารถนาของพวกเรา เกิดขึ้นจากพลังความสามัคคีอันดีของพวกเราทุกคน ตลอดทั้งนักเรียนและครูอาจารย์ ราวกับเนรมิตเพราะใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น เกินความคาดหมายที่คาดไว้ ท่านจึงเชื่อว่า สระนี้จะเป็นสระอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ทั้งความชุ่มฉ่ำเย็นใจกาย อันจะเป็นสิ่งคอยกระตุ้นและเสริมกำลังกายความสามัคคีให้ประสบแต่ความร่มเย็นเป็นสุข มีสุขภาพพลานามัยเข้มแข็ง เกิดความคิดสติปัญญาฉลาดเฉลียวในทางที่เกิดประโยชน์ต่อวงศ์สกุลและประเทศชาติสืบไป ขอให้พวกเราจงช่วยกันรักษาทั้งสระและทั้งความดีที่ร่วมกันแสดงออกในครั้งนี้ไว้ให้คงอยู่ ซึ่งจะเป็นเยี่ยงอย่างอันดีเด่นแก่บรรดาศิษย์แม่โจ้รุ่นหลัง ๆ ตลอดชั่วกาลนาน พวกเราต่างดีอกดีใจไชโยโห่ร้องลั่นสนั่นไหว แล้วเสียงเพลง “แม่..โจ้ ไชโยพวกเรา ใหม่เก่าพวกเราไชโย” จากต้นเสียง คุณแผ่พืช เทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็กังวานขึ้นทุกคนเปล่งเสียงร้องรับกันอย่างหนักแน่น พร้อมเพรียง เป็นบรรยากาศที่สดชื่นตื้นตันอย่างยิ่ง หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ไปเที่ยวงานฤดูหนาวในเมืองเชียงใหม่ เมื่อกลับมาจากเที่ยวงานฤดูหนาว พวกเราก็ได้เห็นแท่นกระโดดน้ำเกิดขึ้นตามที่อาจารย์ใหญ่ท่านบอกไว้ ในเวลาต่อ ๆ มา พวกเราได้ใช้สระนี้อย่างคุ้มค่ากับที่ได้ลงแรงสร้างขึ้นมา และในภายหลังก็มองเห็นว่า สระนี้เป็นสระศักดิ์สิทธิ์จริง ตามที่ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวไว้ในการลงทัณฑ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ตามธรรมนูญของแม่โจ้ในข้อจับโยนน้ำก็ดี การบูชายัญก็ดี ตลอดจนพิธีชุบตัวของลูกแม่โจ้ หรือพิธีล้างอาถรรพ์ก็ได้ใช้สระเกษตรสนานนี้ทำพิธีสืบต่อกันตลอดมา โดยมีได้ก่อให้เกิดความแตกร้าว แตกแยกกันแต่ประการใด ผลที่ได้กลับตรงข้าม เป็นความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน สมกับปณิธานที่ท่านอาจารย์ใหญ่ คุณพรช่วงฯ ได้ตั้งไว้ทุกประการ ฯลฯ เรียบเรียงจาก “สระเกษตรสนาน” โดยปราโมทย์ บัวชาติ (รุ่น 2) หน้า 214-219. หนังสือ เกษตร-แม่โจ้ ที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 82 ของอำมาตย์โทพระช่วงเกษตรศิลปะการ (ช่วง โลจายะ) 20 กรกฎาคม 2524. ได้ตรวจสอบและสอบถามจาก คุณประกอบ ผดุงพงษ์ และคุณวิชัย ชื่นวิเชียร (รุ่น 2) สระเกษตรสนาน ขุดเสร็จเมือวันที่ 29 ธันวาคม 2478 นักเรียนแม่โจ้ได้ไปเที่ยวงานฤดูหนาวที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ซึงมีงานระหว่าวันที่ 30 ธันวาคม 2478 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2479 สถานีทดลองกสิกรรมแม่โจ้ และโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ไปออกร้าน จัดนิทรรศการครั้งแรกที่ “เรือนเพชร” สระเกษตรสนานได้ใช้ในพิธีรับน้องใหม่เป็นครั้งแรก รุ่น 3 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2479) สงวน จันทร์ทะเล 16 มิถุนายน 2549 สระศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิธีกรรมสู่อ้อมอกแม่โจ้ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2478 อาจารย์ใหญ่ คุณพระช่วงฯ ได้กล่าวแก่นักเรียนแม่โจ้ว่า “สระเกษตรสนาน” ได้เกิดขึ้นจากพลังความสามัคคีของพวกเราทุกคน ท่านเชื่อว่า สระนี้จะเป็นสระอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเป็นสิ่งคอยกระตุ้น ความสามัคคี ในทางที่เกิดประโยชน์ต่อสถาบันและประเทศชาติสืบไป ขอให้พวกเราช่วยกนรักษาทั้งสระและความดีที่ได้ร่วมกันแสดงออกในครั้งนี้ให้คงอยู่เป็นเยี่ยงอย่างอันดีแก่บรรดาศิษย์แม่โจ้รุ่นหลัง ๆ ตลอดไปชั่วกาลนาน ลูกแม่โจ้ได้ใช้สระนี้ประกอบพิธีกรรมต้อนรับนักเรียนใหม่ที่จะมาเป็นลูกแม่โจ้ เป็นครั้งแรก เมื่อเช้าตรู่วันที่ 7 มิถุนายน 2479 (รุ่น 3) สระนี้เป็นสระศักดิ์สิทธิ์จริง ตามที่ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวไว้ สระนี้ใช้ในการลงทัณฑ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ตามธรรมนูญของแม่โจ้ ในข้อจับโยนน้ำก็ดี การบูชายัญก็ดี ตลอดจนพิธีชุบตัวของลูกแม่โจ้ที่เข้ามาใหม่ หรือพิธีล้างอาถรรพ์ก็ได้ใช้สระเกษตรสนานนี้ทำพิธีสืบต่อกันตลอดมา โดยมีได้ก่อให้เกิดความแตกร้าว แตกแยกกันแต่ประการใด ผลที่ได้กลับตรงข้าม เป็นความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน สมกับปณิธานที่ท่านอาจารย์ใหญ่ คุณพรช่วงฯ ได้ตั้งไว้ทุกประการ ฯลฯ บริเวณโดยรอบสระเกษตรสนานนี้จึงเป็นที่สงบเงียบที่ ลูกแม่โจ้ทุกคน ต้องให้ความเคารพว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องได้รับการดูแลรักษาไว้เพื่อประกอบพิธีของลูกแม่โจ้ ตามบทบัญญัติแม่โจ้ การใช้สถานที่และสระนี้ต้องกระทำด้วยความจริงใจยึดมั่นตามประเพณีที่สืบทอดมา การชำระล้างมลทินต้องกระทำโดยถูกต้องยุติธรรมตามแบบแผนที่บทบัญญัติได้ตราไว้ เรียบเรียงจาก “สระเกษตรสนาน” โดยปราโมทย์ บัวชาติ (รุ่น 2) หน้า 214-219. หนังสือ เกษตร-แม่โจ้ ที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 82 ของอำมาตย์โทพระช่วงเกษตรศิลปะการ (ช่วง โลจายะ) 20 กรกฎาคม 2524.

Read More


บุคคลสำคัญต่อมหาวิทยาลัยแม่โจ้

Read More


บิดาแห่งการเกษตรแม่โจ้ พระช่วงเกษตรศิลปการ(subthai)



เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีที่ห้วยโจ้

สายน้ำ สายธาร สายใยลูกแม่โจ้ ที่กลางวันให้ความชุ่มชื่น ฉ่ำเย็น ให้กับแมกไม้นานาพันธุ์ และให้การเกษตรแก่ผู้คนในอดีต และเป็นที่ชำระล้างร่างกายของผู้คนโดยเฉพาะลูกแม่โจ้ มานานเกือบศตวรรษ ช่วงกลางคืน นั้น เคร่งขรึม น่าเกรงขาม ศาสตราจารย์ ดร.ระพี สาคริก ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 7 เคยเล่าให้ผมฟัง เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2558 ว่า สมัยที่ท่านเรียนที่แม่โจ้ ยามเย็นถึงค่ำท่านและเพื่อนๆ ชอบมานั่งริมห้วยโจ้ เพราะอากาศเย็นสบาย ฟังเสียงน้ำไหลแล้วสบายใจ แต่เพื่อนของท่านบางคนปากเปราะ ชอบพูดคุยถึงเรื่องผีทั้ง ๆ ที่ท่านพยายามห้ามแล้วเพราะจะทำให้เสียบรรยากาศ และแล้วหลังจากเพื่อนกำลังเอ่ยถึงเรื่องผีขึ้นมา ในยามค่ำคืนเสียงหรีดหริ่งเรไรที่กำลังร้องระงมปรากฎว่า สรรพสัตว์ดังกล่าวหยุดร้องอย่างกะทันหันและมีเสียงคนคล้ายผู้ชาย ด้วยน้ำเสียงหัวเราะเยือกเย็นสวนขึ้นมา เท่านั้นเอง ทุกคนวิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต จากนั้น เป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ห้วยโจ้ ในช่วงค่ำคืนอีกเลย จะมีเพียงกลางวันในวันหยุดเท่านั้นที่กล้าไปนั่ง ๆ นอน ๆ กัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนิต มะลิสุวรรณ ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 20 เคยเล่าให้ผมฟังว่า ที่ห้วยโจ้บริเวณต้นไม้ใหญ่ใกล้หอพัก 8 ในปัจจุบัน เคยเป็นที่อาบน้ำของพวกเรา โดยเฉพาะยามค่ำ แต่มาในวันหนึ่งมีเสียงอื้ออึง จนไม่มีใครกล้าไปอาบน้ำช่วงค่ำอีกเลย เรื่องในวันนั้นขณะที่เพื่อนบางคนจะไปอาบน้ำเหมือนเช่นเคย ขณะที่เมื่อเดินริมห้วยโจ้ ที่เคยอาบเล่นเป็นประจำ ปรากฎว่า มีเสียงซู่จากกลางห้วยโจ้ และมีร่าง ๆ หนึ่ง เนื้อตัวสีขาวซีดโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เพื่อนคนนั้นถึงกับร้องเสียงหลง และพูดจาไม่ได้ใจความ พูดแต่ว่าเจอผี พูดแต่ประโยคเดิม ๆ อยู่หลายวัน แต่ท่านอาจารย์ธนิต กล่าวว่า ท่านไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่กล้าเหมือนกัน และมีอีกหลายท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับผีกับห้วยโจ้ แต่ผมก็ลืม ๆ รายละเอียด เสียแล้วทั้งผีจริง และผีปลอม หากท่านใด มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว จะเป็นเรื่องเล่า หรือเคยประสบด้วยตัวเอง ขอเรียนเชิญเลยครับ! หมายเหตุ: คืนนี้ผมเดินลัดป่าบุญศรี วังซ้าย ด้วยไฟฉายดวงเล็กดวงเดียว และเมื่อถึงสะพานเบอร์ลิน หรือปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นลูกแม่โจ้กำเนิด เลยบันทึกภาพไว้ แต่ก็ไม่เจอผีนะครับ!

Read More


นิทรรศการภายในอาคารหลัก

ส่วนที่ 2 เรื่องราวของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ / อาจารย์ใหญ่, ผู้อำนวยการ และอธิการบดี

Read More


ว่าที่ ร.ต.พิธิวัฒน์ วิรากานต์กุล

Read More


หอระฆังแม่โจ้ สัญลักษณ์แห่งกาลเวลา ภาพหอระฆัง ถ่ายมาเมื่อปี พ.ศ.2479

มีผู้ให้ความหมายไว้อย่างน่าฟังว่าระฆังมีรูปทรงกลม หมายถึงไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด ระฆังเป็นสัญลักษณ์แห่งกาลเวลา ที่อยู่คู่แม่โจ้มาอย่างยาวนานมากกว่า 86 ปี หอระฆังแม่โจ้ สร้างขึ้นเพื่อกำหนดเวลาชีวิตประจำวัน ของนักเรียนแม่โจ้ อยู่คู่แม่โจ้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2477 ความสำคัญ: การปลุกให้ตื่นนอนเวลา 05.00 น. เพื่อลงงานภาคปฏิบัติและรับประทานอาหารเช้า เวลา 06.00-08.00 น. เข้าชั้นเรียนเวลา 09.00-12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน เวลา 12.00-13.00 น. และถูกเคาะอีกครั้ง ในเวลา 13.00-16.00 น. และสุดท้ายย่ำระฆังเพื่อสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนเข้านอนเวลา 21.00 น. และถูกตีบอกเวลาทุกชั่วโมง ต่อมาภายหลังการรัวระฆังกลางดึกหลังเที่ยงคืน คืนใดเกิดขึ้น ย่อมบ่งบอกถึงกิจกรรมประเพณีการรับลูกแม่โจ้ใหม่ไว้ในอ้อมอกอีกครั้งหนึ่ง หอระฆังดั้งเดิม ปี พ.ศ. 2477 สร้างด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งหมด และใช้งานมายาวนาน จนเริ่มหมดอายุตามสภาพกาลเวลา มีการบูรณะให้สามารถใช้งานได้มาโดยตลอด ผู้ให้ข้อมูล: ศาสตราจารย์ ดร. ระพี สาคริก ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 7 สกุล หาภา ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 19 ชาคริต สุริยะเจริญ ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 19 รองศาสตราจารย์ ดร. วิทยา ดำรงเกียรติศักดิ์ ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 32 ภาพประกอบกระทู้: หอระฆัง พ.ศ. 2479 (84 ปี ผ่านมาแล้ว) เอกสารอ้างอิง: สมุดแม่โจ้ พ.ศ. 2479

Read More


ส่วนที่ 3 ห้องแสดงสิ่งของส่วนตัวพระช่วงเกษตรศิลปการ และศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย

Read More


วิวัฒนาการเกษตรไทย วิวัฒนาการแม่โจ้

Read More


ส่วนที่ 4 นิทรรศการภายนอกอาคารหลัก

Read More


Oral History กว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์การเกษตรไทย มหาวิทยาลัยแม่โจ้



วิถีแม่โจ้ วิถีเกษตร

Read More


เรื่องเล่าขานตำนานแม่โจ้

Read More


ภาพเก่าแม่โจ้ (Maejo Old Picture)

Read More